เทศน์พระ

ใคร่ดี

๒๒ มี.ค. ๒๕๕๕

 

ใคร่ดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ อากาศมันร้อน เวลาหน้าฝน เวลาฝนตกมันชุ่มชื้น ความชุ่มชื้นจะอาศัย เวลาเข้าพรรษาหน้าเขาทำไร่ไถนา พระธุดงค์ไปนี่ไปเหยียบย่ำของเขา แต่ถ้าก่อนหน้านั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้บัญญัติวันพรรษาไว้ พระออกวิเวกทั้งปี ทีนี้พอเขาร้องเรียนขึ้นมาว่า หน้าฝนเขาทำไร่ไถนา ชาวบ้านเขายังรู้จักเวลาทำไร่ไถนา พระก็ต้องรู้จักหยุดอยู่กับที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบัญญัติวินัยให้จำพรรษา

ถ้าไม่จำพรรษาเราก็ต้องออกวิเวก แล้วสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเผยแผ่ธรรม วัดวายังไม่มี อยู่โคนไม้กัน แล้วมีผู้ศรัทธาเขาได้สร้างวัดขึ้นมาเป็นอารามอาวาส เป็นผู้ที่ไม่มีเรือน ผู้พักอาศัย

การพักอาศัยก็มีกติกามากมาย แต่ด้วยวัฒนธรรม เห็นไหม เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ วัดถึงเป็นที่ก่อสร้างสิ่งที่เป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมศิลปะสวยงาม พระไปอยู่อาศัยนะ ถ้าอาศัยแล้วไม่มีสติปัญญา มันก็ต้องติดอยู่ที่นั่น

ดูสิเวลาที่เขาอยู่อาศัยกัน เวลาสัตว์นะมันมีหวงเขตหวงแดนของมัน พระถ้าอยู่ยึดว่าเป็นของเราๆ มันก็หวงเขตหวงแดนของมันเหมือนกัน แต่ถ้าเราอยู่ของเรา เห็นไหม เพื่อบำรุงรักษาสิ่งนั้นเป็นของสมบัติกลาง สิ่งนั้นเป็นของของสงฆ์ เห็นไหม นี่ผู้ที่เป็นธรรมเป็นวินัยมาอยู่อาศัย เขาจะมีความสุขร่มเย็นนะ นี่อาคันตุกวัตร อาจริยวัตร

สิ่งที่ว่าเวลาวัตรปฏิบัติ เวลาผู้ที่เขาเป็นอาคันตุกะมา เวลาเขามาเขามีจริตนิสัยของเขา เขามีธรรมวินัยของเขา เรายังต้องสะเทือนเลย ถ้าเราสะเทือนของเรา เห็นไหม เราใฝ่ดี ถ้าเราใฝ่ดี เราใคร่ดีขึ้นมานี่ เราเห็นสิ่งใดเป็นประโยชน์เราจะเอาสิ่งนั้นมาเทียบเคียง ถ้าเราใคร่ดี เราจะแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณงามความดี

ความดีมันทำยากหรือมันทำง่ายล่ะ ความดีมีหยาบมีละเอียดนะ แม้แต่เรา แม้แต่คนที่เป็นคฤหัสถ์จะมาบวชเป็นพระนี่ เขาก็ว่าสิ่งที่เป็นพระนี่ จากเขากิน ๓ มื้อแล้วถ้ามาเป็นพระบ้านเขาก็ฉันมื้อเพล ถ้าวัดป่าเขาก็ฉันหนเดียว เราจะสู้ไหวไหม ต่างๆ คิดไปร้อยแปด นี่ใคร่ดีใฝ่ดีก็ยังคิดว่าทำดีจะดีไหวไหม จะทำต่อไปได้ไหม

เวลาเราบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว เห็นไหม นี่สิ่งที่เราหวังดีของเรานี่ ถ้าเราเริ่มจะรักษาใจของเรา ถ้าเรารักษาใจของเรา เราหวังดีนะ เราใคร่ดี ใคร่ดีขึ้นมานี่เราจะทำอย่างไร สิ่งที่ดี ความดีที่ดีไปกว่านี้ล่ะ ถ้าดีกว่านี้ไปนี่จากความสงบภายนอก เห็นไหม ถ้าพระที่หวังดีมุ่งดี เขาไม่ติดกับความเป็นที่อยู่อาศัย เขาไม่ติดกับความเป็นอยู่ทั้งสิ้น เขาหวังดีกับจิตของเราที่จิตเราสงบระงับ เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า ไม่มีอะไรเลย นี่ดูสิ ทำทรมานตนอยู่ ๖ ปี อยู่ในป่าในเขาจะมีสิ่งใด นี่ใครมาสร้างอะไรไว้ให้ ไม่มีเลย เวลาตรัสรู้ ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ เห็นไหม อยู่ในเรือนว่าง อยู่ในที่โล่งแจ้งนี่มันปลอดโปร่งตลอด เวลาภาวนาขึ้นมา เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมานี่วัดวาอารามยังไม่มีเลย สิ่งที่ยังไม่มี เห็นไหม สิ่งที่อยู่กันแบบนั้นมันมีความสุข ความปรารถนาดี สิ่งที่ว่าไม่เป็นนามธรรม จับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย แต่! แต่มีหลักมีเกณฑ์

ฉะนั้นพอวางธรรมวินัยไว้ เราศึกษาขึ้นมาเราเป็นชาวพุทธ เราบวชขึ้นมาเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราว่าเราเกิดมาทุกข์ยากมาก เวลาอยู่ในสังคม สังคมมีการแข่งขันกัน สังคมมีการเอารัดเอาเปรียบกัน เราเห็นสังคมเราก็เบื่อหน่ายทั้งนั้นน่ะ เวลาเราเบื่อหน่ายเราเสียสละออกมา ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร บวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมาแล้วเราใคร่ดีขึ้นมา เราเห็นพระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาพออยู่ไปๆ เห็นไหม นี่ความคุ้นชินทำให้ชินชาหน้าด้าน พอชินชาหน้าด้านก็ทำตัวของเขาเหลวไหลไปตามแต่จริตนิสัยของคน คนมันคิดได้อย่างไรทำได้อย่างไร มันก็ทำประสามันทั้งนั้นล่ะ

แต่เราใคร่ดีของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม เรามีครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง เรามีครูอาจารย์เป็นแบบอย่าง เราเอาสิ่งนั้น เรามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัตินี้ให้จิตใจอาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องอยู่ จิตใจถ้ามีเครื่องอยู่ขึ้นมามันจะมีเครื่องอยู่ของมัน เห็นไหม นี่เช้าขึ้นมาเราทำข้อวัตรของเรา วัตรส่วนรวมทำสิ่งใด เสร็จจากวัตรปฏิบัติในวัดแล้ว ข้อวัตรในปกติของเรา เราจะเดินจงกรมเท่าไหร่ นั่งสมาธิภาวนาเท่าไหร่ เราตั้งกติกาของเราขึ้นมา

ถ้าตั้งกติกาเราขึ้นมาเพื่อสิ่งใดล่ะ “ใคร่ดี” ใคร่ดีในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันสงบระงับ เห็นไหม เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่มันมีโอกาสทำได้นะ แต่ถ้าหัวใจมันเร่าร้อนเข้าไปในทางจงกรม มันยิ่งไปเจอไฟเข้าไปใหญ่ นี่อยู่คนเดียวระวังความคิด ความคิดมันจะเผารนทั้งนั้นล่ะ มันเผารนหัวใจนี้ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ ถ้ามันเผารนหัวใจของเราจนไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเลยนี่ เราทำอย่างใด

นี่เวลาหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านอยู่ของท่านนะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ส่งโรงพยาบาล แต่หลวงปู่มั่นนะ หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง หลวงปู่มั่นเวลาอยู่วัดนะ เวลาอยู่ที่พักอาศัย วัดของหลวงปู่มั่นก็คือแคร่ อยู่ในป่าเขาตั้งแคร่ให้สามแคร่สี่แคร่นั้นก็คือวัดของหลวงปู่มั่น เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่เขาต้องเข้าโรงพยาบาล หลวงปู่มั่นท่านยิ่งเข้าป่าลึกเข้าไป

เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เห็นไหม เราต้องดูแลรักษา ต้องไปหาหมอนะ หมอต้องดูแลรักษา ต้องเข้าโรงพยาบาล เวลาภิกษุไข้จะกินตอนเย็นก็ได้ จะฉันอะไรก็ได้ ภิกษุไข้จะทำอะไรก็ได้ นี่พูดถึงผู้ที่เขาไหลไปเป็นโดยความชินชาหน้าด้าน

แต่หลวงปู่มั่นท่านเข้าป่านะ ยิ่งถ้าอยู่แคร่อยู่ตามป่า เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยท่านเข้าป่าลึกเข้าไปกว่านั้นอีก เวลาสุดท้ายขึ้นมาฉันข้าวกับเกลือเท่านั้น ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยนะ มีข้าวกับเกลือ มีข้าวต้มกับเกลือเท่านั้นนะ ไม่มีสิ่งใดล่ะ สิ่งที่ท่านทำอย่างนั้นล่ะ

ดูสิเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยท่านยิ่งเข้าป่าลึกเข้าไปๆ ท่านไม่ออกมาหาหมอหรอก ท่านไม่ออกหรอก นี่เวลาคนที่เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา ยิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยเขาเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นสนามรบ อะไรมันเจ็บ อะไรมันไข้ อะไรมันป่วย เวลาดีขึ้นมานี่ อยู่ดีๆ ทำไมก็ปกติดีๆ นี่แหละ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ไข้มันมาจากไหน เวลาไข้มันหายมันหายไปจากไหน? ท่านก็ใช้ปัญญาไล่ของท่านเข้าไปเลย นี่ธรรมโอสถ ท่านดูแลร่างกายของท่าน ดูแลจิตใจของท่าน นี่เราดูแล

คนใคร่ดีต่างๆ เขาหวังดีของเขา มันมีธรรมโอสถ ธรรมมันเหนือโลกนะ แต่ถ้าเราอยู่กับโลก โลกเป็นแบบนั้น ยิ่งเดี๋ยวนี้โลกเจริญ เห็นไหม เขาต้องตรวจสุขภาพ ดูแลสุขภาพ ดูแลสุขภาพขนาดไหน เวลาเป็นสิ่งใดขึ้นมานี่หัวใจมันไหลไปก่อนไง มันทุกข์มันยากไปทั้งนั้นล่ะ มันทุกข์มันยากเพราะอะไร มันทุกข์มันยากเพราะเราหวังพึ่งคนอื่น เราหวังพึ่งข้างนอกทั้งหมดเลย จิตใจเราพึ่งตัวเองไม่ได้

ถ้าจิตใจเราพึ่งตัวเองไม่ได้ เราพึ่งตัวเองไม่ได้เราจะหวังพึ่งใคร ไปหวังพึ่งหมอใช่ไหม หมอเขาก็ได้แค่ปลอบประโลมอยู่ภายนอก เขาก็ดูแลเราภายนอกเท่านั้นแหละ เรื่องหมอ เรื่องที่เขาดูแลรักษาตามอาการไข้นั้น แล้วรักษาหายก็มี รักษาแล้วตายก็มี แต่เขาก็รักษาไปตามอาการของเขา

แต่จิตใจของเราล่ะ ถ้าจิตใจของเราเข้มแข็งขึ้นมา ธรรมโอสถนี่มันรักษาไข้ รักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยของเราได้ แต่ถ้ารักษาไม่ได้ เราก็ตายไปก็เท่านั้นเอง นี่ตายไป ถ้าจิตมันพิจารณาของมันไปนี่เราใคร่ดีของเรา ถ้ามันพิจารณาอย่างนั้นขึ้นมามันจะเห็นโทษของมัน แล้วมันจะปล่อยสัญญาอารมณ์จากภายนอก สัญญาอารมณ์จากภายนอกนะ

เวลาสัญญาอารมณ์เกิดขึ้นมานี่ มันไม่จริงยังไม่รู้เลย แต่สัญญาอารมณ์มันเกิดขึ้นมาแล้วล่ะ สัญญาอารมณ์มันหลอกลวงขึ้นมาแล้ว มันคิดจนสำเร็จรูปมาแล้ว แล้วเราก็เร่าร้อนไปกับความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ เราจะไม่ไหลไปกับสัญญาอารมณ์นั้น มันจะเป็นจะตายยังไม่มีใครรู้หรอก มันจะเป็นจะตายมันอยู่ที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันจะมีปัญญาจะดูแลรักษาของมันขึ้นมา ถ้าดูแลรักษามันก็ปล่อยวางสัญญาอารมณ์เข้ามา ถ้าปล่อยวางสัญญาอารมณ์เข้ามานี่มันก็เป็นตัวของมันเอง เห็นไหม พอมันเป็นตัวของมันเอง โรคภัยไข้เจ็บนี่หายหมด โรคภัยไข้เจ็บนี่วางไว้ มันวางของมันเพราะมันไม่ออกรับรู้ขึ้นมา

แต่ถ้าโรคภัยไข้เจ็บนี้วางไว้เป็นกำลังใจของตัว ถ้าเป็นกำลังใจของตัวมันพิจารณาของมันนี้คือเรื่องของสัมมาสมาธินะ เรื่องของธรรมโอสถ แต่เวลาถ้าเกิดธรรมจักรล่ะ เกิดปัญญาขึ้นมา คนใคร่ดีขึ้นมา สิ่งนี้เรายังเห็นได้

สิ่งที่ว่าเวลาเรานั่งภาวนา เห็นไหม เรานั่งภาวนาไปมันเกิดเวทนา ลองขยับมันก็หายแล้ว เปลี่ยนท่าก็หาย นี่เวทนาเราแค่เปลี่ยนท่านั่งก็หาย เวทนาก็หาย แล้วเวทนามันอยู่ไหนล่ะ ถ้าจิตใจเราอ่อนแอนะ ถ้าเวทนามันเกิดขึ้นมาเราล้มลุกคลุกคลานแล้ว เราไปไม่รอดแล้ว เพียงแต่เราเข้มแข็งของเราขึ้นมานี่เราพลิกท่าก็หาย แต่ถ้าเราไม่พลิกล่ะ เวทนาก็คือเวทนา ถ้าจิตมีสติปัญญาขึ้นมามันจะต่อสู้กับมัน ถ้าพุทโธ ๆ ได้ ถ้ามันหลบมาได้เวทนามันก็สักแต่ว่า

แต่ถ้าจิตเรามีสติปัญญาขึ้นมา พอจิตเราสงบขึ้นมาแล้ว อะไรเป็นเวทนา สัญญาอารมณ์ ดูสิเวลาสัญญาอารมณ์มันเกิดขึ้นมา ถ้าเรากำหนดพุทโธมา ถ้ามันปล่อยสัญญาอารมณ์มันก็เป็นสัมมาสมาธิ มันปล่อยวางสัญญาอารมณ์มันเป็นตัวของมัน เวลาจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ เวลามันออกไปรู้ สัญญาอารมณ์ก็ออก เวทนาก็เกิดจากจิต เวทนาก็เกิดจากจิตมันเสวยอารมณ์ ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเป็นตัวของมันเองแล้วนี่ แล้วมันออกไปจับเวทนาของมันได้มันพิจารณาเวทนาของมันถ้ามันพิจารณาด้วยปัญญาของมัน นี่สัจธรรมมันจะเกิดตรงนี้ไง

ถ้าสัจธรรมมันเกิดตรงนี้เพราะอะไร จิตมันสงบเข้ามาแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม โดยสัจจะโดยความเป็นจริง มันพิจารณาของมันใคร่ครวญของมัน คนใคร่ดี คนใฝ่ดี เขาจะพัฒนาใจของเขา ถ้าใจของเขาพัฒนาขึ้นมานี่เขาจะมีข้อเท็จจริง มีมรรคญาณ มีความเป็นจริงขึ้นมา เขาไม่ใช่ลูบๆ คลำๆ

นี่ฟังธรรม “พูดจนชินปาก ฟังจนชินหู แต่หัวใจมันด้าน” ยิ่งอ่านเข้าไปมันยิ่งด้านใหญ่ เวลาอ่านศึกษาธรรมขึ้นมา ธรรมะๆๆ นี่ฟังแล้วมันมีความดูดดื่ม ดูดดื่มเข้ามายังมีสติ มันยังศึกษาอยู่นี่ไง แต่ประเดี๋ยวพอกิเลสมันขี่หัวขึ้นมา เดี๋ยวพอกิเลสมันตื่นขึ้นมานี่ มันเอาจิตใจนี้ไปอยู่ในอำนาจของมันหมดเลย

เวลาเราศึกษาธรรมเพราะสติปัญญา มีสติเราอ่านหนังสือด้วยความเข้าใจ นี่มีสติ พออ่านเข้าไปมันก็มีรสชาติของมัน มันก็รู้ว่า อ้อ! นี่ธรรมะๆ นี่สิเป็นธรรมะ แต่เวลากิเลสมันตื่นขึ้นมา มันปัดทิ้งหมดเลย มันปัดทิ้งนะ ธรรมะที่ว่ารู้ๆ นี่มันหายไปไหนหมดล่ะ มันมีแต่ความเร่าร้อนมาอีกแล้วนี่ คิดตามจริตนิสัยของตัว จริตนิสัยของตัวเป็นอย่างไรมันก็ติดความนึกคิด ธรรมะหายไปหมดเลย นี่ไงเวลาจิตใจมันเร่าร้อนมันเป็นแบบนั้น

แต่ถ้าเราใคร่ดีขึ้นมา เพราะเราเห็นการเจริญแล้วเสื่อมในหัวใจของเรา เวลาจิตใจมันเจริญขึ้นมา จิตใจเจริญหมายถึงว่าเวลามันพิจารณาของมัน มันศึกษาธรรมะแล้วมันปล่อยวาง มันสัจธรรม มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง สัจจะอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา เป็นธรรมและวินัยที่วางไว้ นี่สัจจะเป็นอย่างนี้ แต่ของเรามันเป็นสมมุติ

เวลามันเป็นสมุทัย สมุทัยตัณหาความทะยานอยากมันครอบหัวใจของเรา ถ้าตัณหาความทะยานอยากครอบหัวใจของเรา มันคาดมันหวังไปหมดล่ะ แล้วจินตนาการไปหมด เห็นไหม เผารนตัวเองไม่พอแล้วยังเผารนคนอื่นด้วยนะ นี่คนอยู่รอบข้างเดือดร้อนไปหมดเลย เดือดร้อนเพราะหัวใจของเราทำให้คนอื่นเดือดร้อน นี่ตัวเองเดือดร้อนยังไม่พอยังทำให้คนอื่นเดือดร้อน เห็นไหม

แต่ถ้ามันรักษาใจของมันได้ มันดับไฟในใจได้ ถ้ามันดับไฟในใจได้ใครมันจะเดือดร้อน ใครจะเดือดร้อนกับหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจนี้มันดับหัวใจ คนใคร่ดี ดูสิ ปลาในสุ่ม ปลาในสุ่มคือจิตใจที่อยู่ในร่างกายของเรา เราจะหาจิตใจของเราเจอไหม ถ้าเราหาจิตใจของเราเจอแล้วเราชำระล้างมัน ทำความสะอาดมัน ทำความสะอาดนี่มันป่ารกชัฏ มันมีแต่สัญญาอารมณ์ มีแต่ความเผารนใจ แล้วเอามาตรฐานสิ่งนี้ไปวัดคนอื่นได้อย่างไร

เวลาหัวใจของคนอื่น หัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันความหยาบละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้ามีความหยาบละเอียดขึ้นไปนี่เขารู้ของเขา เขารักษาใจของเขา ถ้าใจของเขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา สิ่งนั้นเขาสงบระงับของเขา นี่ถ้าสงบระงับของเขา หัวใจเรานี่เราจะเอาสิ่งนี้จะเอาความเร่าร้อนหัวใจของเราไปเทียบเคียงกับคนอื่นได้อย่างไร ถ้าเราจะเทียบเคียงกับหัวใจคนอื่นเราต้องมีสติปัญญานี่เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราให้ได้ก่อน

ถ้าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ธรรมที่ละเอียดกว่านี้ ธรรมที่สงบระงับยิ่งกว่านี้ มันยังมีอยู่ไปข้างหน้า เราจะรักษาใจของเราขึ้นไปอย่างไร โลกมันร้อนแต่จิตใจเราไม่ร้อน ถ้าโลกมันร้อนแล้วเราก็ร้อนด้วย พอเราร้อนด้วยเราก็ทำให้มันเผารนให้ยิ่งร้อนเข้าไป

นี่ตบะธรรมนะ เวลาเป็นตบะธรรม ไฟตบะธรรม ไฟที่แผดเผากิเลส ถ้าไฟที่แผดเผากิเลสมันเผากิเลสอย่างไร นี่เวลามันเผากิเลสมันเผากิเลสเพราะอะไร เพราะเรามีสติปัญญายับยั้งของเราไว้ไง ถ้าเราไม่มีสติปัญญายับยั้ง ดูสิดูไฟในเตานะ ถ้าไฟในเตา ใครไม่รักษาไฟในเตา ดูสิสะเก็ดไฟเวลามันแตกออกไปนี่ มันไปโดนเชื้อไฟมันเผาบ้านทั้งบ้านหมดเลย แล้วถ้าบ้านนั้นอยู่ในชุมชนแออัดนะ มันเผาทั้งเมือง นี่สะเก็ดไฟมันเผาทั้งเมืองเลย

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา ไฟในเตาของเรา เราจะนำมาประกอบอาหารของเรา เราจะมาประกอบสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิตของเรา เราจะเอามาเลี้ยงชีวิตของเราได้เพราะเรามีสติปัญญา ถ้าเราขาดสติปัญญามันเผารนไปหมดเลย

ถ้ามันเผารนออกไป มันเผารนใครบ้างล่ะ มันเผารนดูสิชุมชนทั้งชุมชนไหม้ราบไปหมดเลย คนๆ เดียวนะ ดูสังเกตทางโลกเขา เห็นไหม คนๆ นั้นเป็นคนฉ้อโกงนะ เวลาเขาฉ้อโกงนี่คนเป็นเหยื่อไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งชาติเป็นเหยื่อเขาไปหมดเลย

แต่ถ้าคนที่เป็นธรรมละ ดูคนที่เป็นธรรม ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมตรัสรู้อยู่ในป่า เทศนาว่าการครั้งแรกกับปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ องค์เท่านั้น เวลาสิ่งที่เราเห็นด้วยตาเนื้อนั้นมี ๕ องค์เท่านั้น แต่เทวดา อินทร์ พรหม ส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไปมหาศาลเลย จักรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคลื่อนแล้วจะย้อนกลับอีกไม่ได้เลย จักรที่เคลื่อนแล้วมีประโยชน์สิ่งใดล่ะ

จักรที่เคลื่อนแล้ว เห็นไหม “เทฺวเม ภิกฺขเว” ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ โลกเขาเป็นอย่างนั้นหมด นี่ไม่ดีก็ชั่ว ถ้าดีใครมาแตะดีของเรา มันก็มีปัญหาขึ้นมา ถ้ามันชั่วล่ะ มันชั่วมันทำลายตัวเอง มันทำลายคนอื่นไปหมดเลย นี่ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ สมณะของเราต้องมัชฌิมาปฏิปทา แล้วมัชฌิมาปฏิปทามันผิดตรงไหนล่ะ

ทุกคนเวลาบวชมาแล้วก็ว่ามัชฌิมาปฏิปทา แต่มัชฌิมาปฏิปทาของใครล่ะ มัชฌิมาปฏิปทาของกิเลส พอใจก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าไม่พอใจก็ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา มันเป็นมัชฌิมาของกิเลสใช่ไหม

แต่ถ้ามันมัชฌิมาของธรรมล่ะ ถ้ากิเลสมันฟูขึ้นมาล่ะ มันก็ต้องใช้สติปัญญาปลุกเอาความเข้มแข็งอัดมันเข้าไป ถ้าเอาความจริงอัดมันเข้าไป กดมันเข้าไป กดมันเข้าไปด้วย มันจะไปไม่ไป มันจะอยู่อย่างนี้ มันจะอยู่ในที่เร่าร้อน เราก็เข้าไปหาที่สงบร่มเย็นซะ เราโต้แย้งกับมันตลอด

ถ้าเราโต้แย้งกับกิเลสของเราได้ นั่นก็เป็นธรรม แต่ถ้ามันปัญญาของกิเลส พอกิเลสมันเกิดขึ้นมามันก็เอาไฟสุมเข้าไป “นี่เป็นธรรมๆ” ถ้ามันเอาไฟสุมเข้าไปเลย ถ้ากิเลสมันเกิดขึ้น เห็นไหม นี่เพราะไม่ใคร่ดี

คนใคร่ดีนะ ดูคนทำความดีสิ คนทำความดีนะ มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความระทม มีแต่คนคอยดูถูกเหยียดหยาม ไอ้คนทำความชั่ว นี่เพราะอะไร เพราะกิเลสมันชอบ ไอ้คนทำความชั่วน่ะอยากดัง อยากมีอำนาจบาตรใหญ่ ทำลายเขาไปหมด ทุกคนมันจะสร้างอิทธิพล พอสร้างอิทธิพลทุกคนก็เอาด้วย เอาด้วยเพราะอะไร เพราะต้องการผลประโยชน์ ถ้าใครได้ผลประโยชน์นี่อยากได้เข้าอิทธิพลนั้น ทำอย่างนั้นทุกคนพอใจๆ แต่ทำความดีทุกคนไม่พอใจ เพราะมันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย ทำความดีเหรอ ทำความดีมีแต่ความทุกข์ยาก ทำความดีไม่มีความสุขอะไรขึ้นมาเลย แต่เพราะความโง่ไง เพราะกิเลสมันครอบงำอยู่มันถึงได้คิดอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ ธรรมมันคิดอย่างนั้นเหรอ นี่เราทำความดี เราเสียสละขึ้นไป ความดี ทำดีเพื่ออะไร ทำดีเพื่อดี เราไม่ได้ทำดีเพื่อให้ทุกคนยกย่อง เราไม่ได้ทำความดีให้ใครรู้จัก เราไม่ได้ทำความดีสิ่งใด ถ้าทำความดีอย่างนั้นมันความดีมันทำดีโดยผลประโยชน์ทับซ้อน เห็นไหม มันทำความดีเพื่อหวังผล

แต่ถ้าเราทำความดีเพื่อไม่หวังผลล่ะ นี่เราบวชมาแล้ว ใครจะรู้จักไม่รู้จักเรื่องของเขา ใครจะว่าเราดีเราชั่วมันเรื่องของเขาทั้งนั้นน่ะ เราจริงหรือเปล่า บิณฑบาตมาตั้งแต่เช้า ฉันอาหารแล้วได้ทำความสงบของใจไหม ดูสิ เวลาทางโลก เวลาทำบุญกุศลเขาหวังพึ่งอะไร เขาหวังอยากได้สิ่งใด? เขาหวังอยากได้บุญกุศลจากเรา ถ้าเราฉันอาหารของเขาแล้ว เราได้ทำประโยชน์ขึ้นมาให้ใจสงบระงับไหม ถ้าจิตใจเราได้สงบระงับขึ้นมา จิตใจเรามีเกิดปัญญาขึ้นมา เขาได้บุญกุศลจากเรา

เพราะเราได้ใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยจากศรัทธาเขา ถ้าเราใช้จากศรัทธาเขา เรามาสร้างประโยชน์กับเรา สิ่งที่เป็นประโยชน์เขาก็ได้ของเขาไป เห็นไหม ดูสิ เวลาเขาถวายบาตรพระ พระเอาบาตรนั้นบิณฑบาตทุกวันเลย บิณฑบาตทุกวันนะ แล้วเราฉันอาหารในบาตรทุกวันเลย เขาได้ของเขาทุกวันเลย เพราะเราใช้ของเขาทุกวันเลย

เหมือนกับทางโลก ใครสร้างศาลาริมทาง ใครสร้างแหล่งน้ำไว้ คนเดินผ่านไปผ่านมาเขาได้อาศัยใช้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์เพื่อดำรงชีวิตของเขา นี่เป็นบุญไหม? ทุกคนเป็นบุญ เป็นบุญแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ ใครเห็นน่ะ? ไม่มีใครเห็นนะ แต่ความเป็นจริง ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ เวลาตายลงจากชาตินี้ขึ้นไป เพราะเทวดามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “พระอินทร์มีจริงเหรอ พระอินทร์มีจริงเหรอ”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เธออย่าถามอย่างนั้นเลยว่าพระอินทร์มีจริงหรือไม่มีจริง แม้แต่เหตุให้เป็นพระอินทร์ยังมีเลย” เหตุที่ให้เป็นพระอินทร์เขายังรู้เลย เห็นไหม

เหตุให้เป็นพระอินทร์ ดูสิ สร้างศาลาริมทาง สร้างถนนหนทาง สร้างแหล่งน้ำให้คนได้ใช้อาศัย นี่เพราะอะไร เพราะเราได้สร้างประโยชน์สาธารณะ ถ้าเราสร้างประโยชน์สาธารณะ ทุกคนนี่เขาจะรู้ว่าใครทำก็แล้วแต่ เขาได้ใช้ประโยชน์สาธารณะเพื่อความสงบสุข ด้วยความสุข ด้วยความสะดวกสบายของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราทำความดีๆ เราต้องให้ใครรู้จัก เราทำความดีๆ ดีเพื่อใคร ถ้าเราทำความดีของเรานะ ดี ประโยชน์สาธารณะต่างๆ ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ผลของวัฏฏะ เวลาเทวดาจะตาย เห็นไหม “ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้สร้างบุญกุศลขึ้นมาเป็นเทวดาต่อ”

แต่ในปัจจุบันนี้เราเป็นมนุษย์ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมา พระ ดูสิ แล้วเป็นพระป่าด้วย พระป่านี่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากทุกข์คืออะไร? พ้นจากทุกข์คือพ้นจากทุกข์ในหัวใจของเรา ถ้าจิตใจนี้มันพ้นจากทุกข์ไปแล้ว วัฏสงสารมันเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างนอกนั่น นี่วัฏฏะ-วิวัฏฏะ เห็นไหม

ถ้าจิตมันพ้นจากทุกข์ขึ้นมา แล้วพ้นจากทุกข์พ้นอย่างไร ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหม เวลาเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เกิดด้วยเหตุใด? เกิดได้เพราะเขาสร้างศาลาริมทาง แล้วแบบนี้ฆราวาสเขาทำได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วพระเรานี่เป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่จะพ้นจากทุกข์ขึ้นไป นี่เราใคร่ดี เราหวังดี หวังดีที่ฆราวาสเขาทำไม่ได้ ฆราวาสเขาทำของเขา บุญของเขาได้แค่นั้น

แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่เราจะสร้างศาลาริมทาง สติปัญญาให้ใจได้พัก ถ้าเรามีศาลาริมทางของเรา เรามีแหล่งน้ำของเรา มีความสงบร่มเย็นในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเราสงบร่มเย็นขึ้นมา ดูสิ เวลาจิตสงบขึ้นมา เวลาคนกระหายขึ้นมา ได้ดื่มน้ำขึ้นมามันจะมีความสุขขนาดไหน เวลาจิตของเราเร่าร้อนขนาดไหน จิตของเราเจอความทุกข์ยากขนาดไหน จิตของเรา ถ้าเรากำหนดพุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันสงบร่มเย็นขึ้นมานี่มันจะมีความร่มเย็นขนาดไหน ถ้าความร่มเย็น เห็นไหม จิตมันได้พักไง

ถ้าจิตมันได้พักขึ้นมา คนใคร่ดี เห็นไหม ทำความดีจากภายนอกมันเป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นสาธารณะ สิ่งที่สังคมเขาจับต้องได้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติทำคุณงามความดีของเรามันเป็นความดี เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก จิตดวงนั้นรู้ได้ด้วยตัวของจิตดวงนั้นเอง ถ้าจิตรู้ได้ด้วยตัวของจิตดวงนั้นเอง เวลาเร่าร้อนไม่ต้องใครบอก ทุกคนร้อนหมด ทุกคนรู้หมด ความเร่าร้อนนี่ภัยของวัฏฏะ

วัฏสงสาร เวลาเกิดมาเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เทวดาก็ทุกข์ พรหมก็ทุกข์ ทุกอย่างทุกข์หมด เกิดมาในวัฏสงสารนี่ทุกข์หมดเลย แล้วเราเกิดมาเราก็ทุกข์ แต่เราเกิดมาทุกข์ เห็นไหม ทุกข์ในปัจจุบันทุกข์ที่รู้ได้ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม เวลาเขาทุกข์ขึ้นมานี่ไปหาพึ่งใคร? เวลาเทวดา อินทร์ พรหม ที่มีสติปัญญาก็ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ลงมาฟังเทศน์ เพราะจะแก้ไขอย่างไร ในเมื่อเป็นเทวดาก็สถานะของเทวดาก็เป็นทิพย์ไปหมด เป็นความทุกข์ จิตใจนี้เร่าร้อน แต่ทุกอย่างเป็นทิพย์ไปหมดเลย จะต้องการสิ่งใดก็ได้ แต่หัวใจมันเร่าร้อน แล้วจะดับทุกข์ได้อย่างไร? นี่มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อริยสัจ เทศน์สัจจะความจริง

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ละด้วยมรรคญาณ มันเกิดนิโรธะ มันเป็นความจริงอย่างไร แล้วจิตใจมันทำได้ไม่ได้ นี่เทวดา อินทร์ พรหม เวลาฟังเทศน์เพื่อหัวใจ สัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยะ มีตบะธรรม มีอินทรีย์แก่กล้า มันเป็นจริงหรือไม่จริง?

เราก็เหมือนกัน เวลาเราเป็นมนุษย์เห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมานี่เรามีสติปัญญาแค่ไหน เราใคร่ดีๆ นี่ดีของใคร? ดีของโลก เห็นไหม ดูสิ เวลาเขาบอก สร้างคุณงามความดีๆ กัน ก็เป็นคุณงามความดีของเรา เวลาจิตใจเราท้อแท้ เราท้อถอย เราก็ไปอยู่ฆราวาสได้ เราก็ทำคุณงามความดีได้ ทำไมเราต้องมาทนลำบากลำบนขนาดนี้

คำว่า “ทนลำบากลำบน” ลำบากตรงไหน? ถ้าไม่มีสติปัญญา ถ้าไม่รู้จักจิต เห็นไหม เราใช้ชีวิตของเราไปประสา เห็นไหม ฆราวาสเขาใช้ชีวิตของเขาไป เขาไม่มีความสงบร่มเย็นของเขา แต่เขามีสติปัญญาขึ้นมาเขาก็เสียใจว่าชีวิตนี้ต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาเขาตายไปเขาจะมีสิ่งใดติดไม้ติดมือเขาไป เขาก็เริ่มทำคุณงามความดีของเขา หาที่พึ่งของเขา

แล้วที่พึ่ง พึ่งไง พึ่งในวัฏฏะ พึ่งเป็นอามิสที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ แล้วพึ่งโดยที่ว่าไม่ต้องหมุนไปเลยนี่ทำอย่างไร ถ้าไม่ต้องหมุนไปเลย นี่คนมีสติปัญญา ความใคร่ดีมันจะศึกษาให้มันละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป

ดูสิ เพราะเราก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เราถึงได้มาบวชเป็นพระกันอยู่นี่ไง ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว เราเป็นพระขึ้นมา เป็นสมมุติสงฆ์ ดูสิ อุปัชฌาย์อาจารย์ยกเข้าหมู่ พอยกเข้าหมู่ก็เป็นพระตามสมมุติ เป็นพระตามความเป็นจริง พระมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง พระเป็นทางกว้างขวาง ทางสมณะเป็นทางกว้างขวาง ถ้าทางกว้างขวางขึ้นมานี่เราจะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์กับเรา

ทางกว้างขวาง กว้างขวางที่ไหน? กว้างขวางที่ถนนหนทาง ที่แหล่งน้ำที่ประชาชนเขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นบุญกุศล เพื่อให้ไปเกิดเป็นพระอินทร์อย่างนั้นเหรอ นี่ทางกว้างขวางของเราคือทางกว้างขวางของหัวใจของเราไง เขาประสบความสำเร็จของเขา เขาก็ไปเกิดในสถานะของพระอินทร์ เขาไปเกิดสถานะเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

แต่เราไม่อยากเกิดน่ะ เราไม่ต้องการเกิด ดูสิ ใคร่ดี ดีที่มันละเอียดลึกซึ้งไปกว่าเขาอีก ลึกซึ้งกว่า...ถนนก็รถเกรดเกรดสิ แหล่งน้ำก็ขุดเข้าไปสิ เอาน้ำมาให้เขาก็ได้ไง แต่สติปัญญามันอยู่ไหนน่ะ นี่แหล่งน้ำในหัวใจเอามาจากไหน มันจะทำให้จิตสงบร่มเย็นนี่เอามาจากไหน พุทโธๆๆ นี่ตอกย้ำเข้าไปสิ ถ้าเราตอกย้ำขึ้นไป เวลาพูดเป็นทฤษฎี พูดเป็นวิทยาศาสตร์ ทุกคนก็เข้าใจได้ รู้ได้ เวลาเราขุดแหล่งน้ำนะ ขุดลงไปแล้วมันไม่มีน้ำ ถนนหนทางทำเข้าไป ดินมันเป็นดินเลน เป็นภูเขา เป็นหิน เราจะทำให้ทางมันเรียบ เป็นไปไม่ได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจจะทำให้มันสงบระงับขึ้นมานี่มันไม่เห็นสงบสักที พุทโธๆ ดินถมเข้าไปเท่าไรแล้วมันก็ไม่อยู่ตัวสักที เดี๋ยวก็ปลิ้นไปทางโน้น เดี๋ยวก็ปลิ้นไปทางนี้ นี่ถนนหนทางที่เป็นวัตถุนะ ที่เขาทำเขาก็ยังรู้เห็นของเขาได้ว่า เขาทำแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับประชาชนจริงหรือเปล่า มันทำเสร็จแล้วถนนมันจะใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ได้ เวลาทำความสงบของใจเข้ามาแล้ว จิตเป็นสมาธิจริงหรือเปล่า นี่มันเป็นประโยชน์ของเรานะ

เวลาประโยชน์สาธารณะ คนอื่นเขาจะมาใช้สอยประโยชน์จากสิ่งนั้น แต่จิตของเราจะเป็นมัคคา มันจะเป็นเครื่องดำเนินให้จิตนี้ได้วิเคราะห์วิจัย ได้พิจารณา ได้เป็นวิปัสสนาให้เข้าไปสู่หัวใจดวงนั้น นี่ปฏิสนธิจิต ภวาสวะ ตัวภพ ตัวพากำเนิด เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ที่มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นี่มันมาจากไหน แล้วเวลามาเกิดเป็นมนุษย์นี่ไม่ต้องไปเทียบเทวดา อินทร์ พรหม เดี๋ยวนี้มันเป็นอยู่แล้ว ในปัจจุบันนี้เรารู้อยู่แล้วว่าจิตของเรานี่มันอยู่ที่นี่

เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟัง ก็เขาทุกข์ เพราะเขาไม่มีทางออก แต่เราตาใสๆ นะ เราศึกษาเข้ามา เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นสังคม เห็นครูบาอาจารย์ของเรา เห็นสมณะ เวลาเห็นครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านสงบระงับในหัวใจ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ ใครเห็นสมณะเป็นมงคลชีวิตอย่างยิ่ง แล้วเราเห็นสมณะนี่เรามีมงคลชีวิตหรือไม่มีมงคลชีวิต ถ้าเรามีมงคลชีวิต เราเห็นสมณะแล้วเราได้ประโยชน์สิ่งใด

โลกเขาเห็นสมณะโดยความเชื่อถือของเขา เขายังทำบุญกุศลของเขา เวลาฟังธรรมขึ้นมา นี่สมณะแสดงธรรมออกมา ถ้าสมณะจริง ความสงบสงัดในหัวใจทำอย่างใด ความสงบสงัดในใจของสมณะ ทำอย่างไรถึงจะสงบสงัดจากกิเลสมา

ถ้าสมณะ สมณะแต่เปลือก นี่ว่าเปลือกเป็นสมณะ แต่หัวใจมันเร่ร่อน หัวใจมันดิ้นรน สมณะจากภายนอก นี่ผลประโยชน์มันทับซ้อน ทั้งๆ ที่เห็นภัยในวัฏสงสารนะ แต่เวลาจะเอาชนะกิเลสยังให้กิเลสมันหลอก ให้กิเลสมันมาขี่คอ มันเป็นสมุทัย มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ว่าไม่เป็นสมณะก็กิริยาเป็นสมณะ แต่ในหัวใจมันเร่าร้อน ถ้าเป็นสมณะจริง เขาต้องเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราให้ได้ก่อน ถ้าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราก่อน นี่ใคร่ดี

เราใคร่ดี ทำความดี ความดีของเรา ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจอาศัยสิ่งนี้เพื่อเป็นเครื่องดำเนิน ถ้าไม่อย่างนั้นมันแฉลบไง มันจะไปตามอำนาจของมันนะ ทำสิ่งนั้นดี ทำสิ่งนี้ดี แล้วมันทำข้อวัตรปฏิบัตินี่ทำแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย ทำซ้ำทำซากๆ ก็ทำซ้ำทำซากเพื่อให้ใจมันตั้งมั่นขึ้นมา ถ้าใจมันไม่ตั้งมั่นขึ้นมา เราไปทำประโยชน์กันที่ไหน

พุทโธๆๆ พุทโธแล้ว พุทโธ ๑๐ ปี ๒๐ ปี ไม่เห็นได้สิ่งใดขึ้นมาเลย

อ้าว! พุทโธด้วยพุทธานุสติ ถ้าไม่พุทโธมันก็ไปที่อื่นเสีย ถ้าพุทโธขึ้นมานี่พุทโธก็ต่อด้วยพุทโธ นี่คำบริกรรมไง พุทโธๆ พุทโธคือพุทโธต่อเนื่อง ถ้าพุทโธต่อเนื่องๆ พุทโธจนจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาจนมันปล่อยพุทโธขึ้นมาได้ จนตัวมันเองเป็นพุทโธขึ้นมาโดยข้อเท็จจริง นี่มันรู้มันเห็นของมัน นี่คนใคร่ดี

พระใคร่ดี คนใคร่ดี ทำคุณงามความดี “ใคร่ดี” ถ้าใคร่ดีน่ะ การทำของเรามันต้องทวนกระแส ดูปลาสิ ปลาตายมันไหลไปตามน้ำ มันสะดวกสบายของมัน ดูปลาเป็น ปลาเป็นมันต้องทวนกระแสน้ำ จิตใจนี่ทวนกระแสเข้าไปสู่ภวาสวะ เข้าไปสู่ภพ เข้าไปสู่ฐีติจิต เข้าไปสู่สัมมาสมาธิ มันต้องขวนขวาย มันต้องมีความเข้มแข็งของมัน

ดูสิ เวลาคนดีหามจั่ว คนชั่วหามเสา เวลาคนดีหามจั่ว จั่วมันเบา คนชั่วมันหามเสา นี่เวลาเขาแบกหามเขายังรู้ว่าคนดีหามจั่ว คนชั่วหามเสา แล้วเราหามกิเลสของเรา หรือเราจะหามพุทโธๆ ทิฏฐิมานะนี่มันแบ่งแยก เราทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ แล้วเราจะหามสิ่งใด เราจะหามจั่วหรือหามเสา

ถ้าเราจะพุทโธๆๆ พุทธานุสติ มันบอกว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์นัก นี่คนดีหามจั่ว คนชั่วหามเสา เขาต้องหามของเขา เขาต้องทำงานสัมมาอาชีวะของเขา เพื่อประโยชน์ของเขา เพื่อความสงบระงับของเขา แล้วเราใคร่ดีของเรา เราจะเอาสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเรา

ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เรากำหนดพุทโธได้ไหม ถ้าเรากำหนดพุทโธไม่ได้เลย เราจะไม่หามอะไรเลยเหรอ จั่วก็ไม่เอา เสาก็ไม่เอา ไม่เอาอะไรเลย แล้วไม่เอาแล้วจะมีสัมมาอาชีวะอย่างไร เราจะมีอาชีพอะไร เราจะทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำของเราได้ นี่เราจะหามสิ่งใดแล้วแต่สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ นี่เราจะหามเสา เสาก็ได้ปักลงไปแล้ว ประกอบขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา เขาต้องเอาจั่วต่อยอดขึ้นไป มีโอกาสขึ้นไป เขาจะมุงหลังคาแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราถ้ามันมีสติปัญญาของมัน มันทำของมัน มันต้องเห็นเค้าเห็นราง ดูสิ เขาเขียนแบบแปลนขึ้นมา แล้วเขาสร้างบ้านเรือนขึ้นมาด้วยแบบแปลนนั้น นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรานี่เราใคร่ดี เราหวังดี เราอยากจะพ้นทุกข์ ถ้าอยากพ้นทุกข์ นี่เป็นความหวังของเรา มันเป็นเป้าหมายของเรา แล้วเราพยายามทำของเราขึ้นมา เรามีแบบแปลนของเราแล้ว เรามีเป้าหมายของเราแล้ว เป้าหมายของเรานี่เราใคร่ดี เราหวังดี เราอยากจะพ้นจากทุกข์ แล้วเราทำของเราสิ มันจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ล่ะ เราตั้งใจของเรา

ถ้าตั้งใจของเรา เราทำของเรา ใครจะดีใครจะชั่วมันเรื่องของเขา ใครประพฤติปฏิบัติแล้วเป็นพระอรหันต์ เป็นสิ่งที่พ้นจากทุกข์ไป ถ้าเขาทำได้จริงก็เรื่องของเขา แต่สิ่งที่มันจะเป็นความจริงของเรา มันต้องอยู่ที่การกระทำของเรา มันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเราทำได้มันก็เป็นประโยชน์ของเรา

ดูสิ การเกิดมาชาตินี้ทุกข์ไหม แล้วมันก็จะเกิดจะตายอีกชาติต่อไป เวลาเราเกิดขึ้นมาแล้ว ดูสิ เวลาคนขึ้นมาเขาขอโอกาสทำคุณงามความดีกัน เราเหมือนกัน เราได้บวชเป็นพระแล้ว ทางโลกเขายังต้องแบกต้องหามตามแต่โลกของเขา แล้วผู้ที่อยากจะออกจากทุกข์เขาก็พยายามประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญของเขาเหมือนกัน เราก็เห็นของเรา เราก็พยายามขวนขวายของเรา ถ้าเราจะขวนขวายของเรา สิ่งนั้นทุกคนมีเหมือนกัน

เกิดมาเป็นคน คนไม่มีพ่อไม่มีแม่เป็นไปได้ไหม คนไม่มีพ่อมีแม่มันจะเป็นคนขึ้นมาได้อย่างใด ฉะนั้น ทุกๆ คนก็มีพ่อ มีแม่ มีทุกข์ มีภาระความรับผิดชอบ มันจะแตกต่างกันไปที่ไหน มันไม่มีใครต่างกับใครหรอก นี่ทุกคนมีพ่อมีแม่เหมือนกัน ทุกคนมีภาระรับผิดชอบเหมือนกัน แต่ใครควบคุมใจของตัวได้ล่ะ

ถ้าใครดูแลใจของตัวเราได้ ใครพัฒนาขึ้นมาได้ จิตใจที่มันพัฒนาขึ้นมามันไม่เสียชาติเกิด ถ้าไม่เสียชาติเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาแล้ว ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วให้มันได้มรรคได้ผล ถ้าได้มรรคได้ผลขึ้นมา เห็นไหม จะช้าจะเร็วมันก็อยู่ที่ความมุมานะ อยู่ที่ความพยายาม ความมุมานะบากบั่น

คนทำงานไม่เป็น ทำงานทุกอย่างมันก็มีผิดพลาดล้มลุกคลุกคลาน น่าทุกข์มาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาอยู่ ๖ ปี พยายามจับพลัดจับผลูอยู่ ๖ ปีนี่ทุกข์มาก ครูบาอาจารย์นะ ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติขึ้นมา จากที่ปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติเริ่มต้นขึ้นมา การปฏิบัติมันต้องแสวงหา ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น

ครูบาอาจารย์ของเราที่สำเร็จ สิ้นกิเลสไปแต่ละองค์ที่เราเชิดชูกันอยู่นี่ ไปศึกษาประวัติของท่าน พอศึกษาประวัติของท่านแล้วเอาสิ่งนั้นเป็นคติธรรม เป็นคติ เป็นแบบอย่าง ว่าเราจะต้องมุมานะ ครูบาอาจารย์ของเราก็ยังทำของเราไปได้ เห็นไหม เวลาจิตใจเราท้อแท้ มันถดถอยขึ้นมา เราคิดสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์ยากขนาดไหน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านต่อสู้มากับกิเลสมากน้อยขนาดไหน แล้วมีอุปสรรคมากน้อยแตกต่างกัน อยู่ที่การสร้างสมบุญญาธิการมา อยู่ที่เรื่องของกรรม ใครสร้างเวรสร้างกรรมมาขนาดไหน เวรกรรมนั่นล่ะ ถึงเวลาแล้วมันแสดงออกตามนั้น

แล้วเราจะมีความมุมานะข้ามวิกฤตนั้นไปอย่างใด ถ้าเรามีความมุมานะ มีการกระทำข้ามวิกฤตนั้น คนใคร่ดี หวังดี เกาะธรรมเกาะวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ วิกฤตนั้นมันผ่านมาขนาดไหน เราเกาะไว้ แล้วจะผ่านวิกฤตนั้นไป ถ้าผ่านวิกฤตินั้นไป เราก็มีโอกาสประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องขึ้นไป ทางสมณะเป็นทางกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง

“ไม่มี” ลองอยู่ทางโลกสิ เขาทำสิ่งใดเขาต้องรับภาระของเขา เขามีของเขา แต่ในเมื่อสมณะนี่เพศมันบอกอยู่แล้ว แล้วเราประพฤติปฏิบัตินี่มันอยู่ที่เรา เพราะสังคมเขาเชื่อถือ พอขึ้นชื่อว่าพระนี่เขาสาธุ เขาไม่มายุ่งเกี่ยว ถ้าเขาไม่มายุ่งเกี่ยว เรานะ เราปฏิบัตินะ คนใคร่ดีไม่ฉ้อฉล เวลาเราปฏิบัติของเรา เราปฏิบัติของเราไป มันจะได้มากได้น้อยนะ เราปฏิบัติของเราแล้ว แล้วเราใช้อุบาย ใครเขาจะเข้ามาทำความคุ้นเคย ใครเขาจะเข้ามาสนิทชิดเชื้อ เราหลบหลีกของเราเอง ถ้าเราหลบหลีกของเราไม่ได้ เราจะเสียเวลา นี่ทางที่เป็นสมณะ ทางกว้างขวาง มันจะคับแคบ คับแคบไปโดยที่เราขาดสติขาดปัญญา

มันกว้างขวางตั้งแต่เราบวช เราบวชมาเป็นพระเป็นเจ้านี่นะ ๒๔ ชั่วโมงให้ปฏิบัติตลอดเวลา เพราะอุปัชฌาย์ก็บอกแล้ว เห็นไหม ให้รุกขมูล เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่มอบอาวุธ มอบเวลา มอบทุกอย่างไว้ให้กับเราแล้ว แต่เวลาบวชขึ้นมาแล้ว เราเองต่างหาก สมณะนั้นบีบให้ทางของสมณะนั้นให้แคบลงโดยความไม่รู้เท่าทันตัวเองต่างหาก เวลาไม่รู้เท่าทันตัวเอง เราไปข้องแวะกับเขาเอง เราไปข้องแวะกับโลกเอง เราไปแสวงหาเขาเอง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราใช้อุบายของเรา ใครเขาเข้ามาหา ใครเข้ามาคุ้นเคยกับเรา เราก็หลบหลีกเอง หลบหลีกโดยอุบายของเรา นี่ทางสมณะมันกว้างขวาง กว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง

แต่! แต่ถ้ามันภาวนาไม่ได้ มันเฉา มันเหงา มันหงอย มันไปหาเขาเอง นี่อยู่ในป่าในเขาก็ออกมาในเมืองไปหาเขา ถ้าไปหาเขานี่เราไปหาเขาเอง เพราะเราเป็นหมาขี้เรื้อนเอง จิตใจเป็นหมาขี้เรื้อนน่ะ มันรักษาตัวเองไม่ได้ มันวิ่งไปหาเขาเอง แต่ถ้าจิตใจมีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม เขามาหาเรา เราหาทางหลบหลีกเราเอง หาทางหลบหลีก หาทางต่างๆ

ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจจะหาข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นเครื่องอยู่ แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าใจมีความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม คนใคร่ดี ใคร่ดีนี่พยายามทำคุณงามความดี

ถ้าความดี ความดีของเราคือความดีที่ว่าไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลย ไม่มีสมบัติสิ่งใดเป็นที่พึ่ง มันจะมีอัตตัตถสมบัติ อัตตัตถสมบัติคือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสมาธิ มีปัญญา นี่อัตตัตถสมบัติเราเกิดขึ้น ถ้าอัตตัตถสมบัติเราเกิดขึ้น อัตตัตถสมบัติคือสมบัติเฉพาะตน ถ้าสมบัติเฉพาะตน เห็นไหม ถ้าเกิดมีสมาธิ เกิดมีปัญญาขึ้นมา เพราะสมาธิ ปัญญา ทำให้สงบร่มเย็น เพราะสมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นมาด้วยวิธีการอย่างใด เห็นไหม

เราได้สมบัตินี้มามันมีเหตุให้ได้สมบัตินี้มา เหตุอันนั้นมันจะเป็นทางบอกเรา มันจะเป็นทางให้เราใช้อันนี้เป็นสมบัติต่อเนื่องไป เพราะในเมื่อเราทำความสงบร่มเย็นขึ้นมาได้ เรามีอัตตัตถสมบัติแล้ว มันมีข้อวัตร มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีความสงบร่มเย็นนั้น เอาสิ่งนั้นไปพัฒนาขึ้นมา เอาสิ่งนั้นเป็นปูนป้ายหมายทางให้ฝึกหัดดัดแปลงใจของตัวขึ้นมา ให้เป็นประโยชน์ละเอียดลึกซึ้งเข้าไป มันจะเป็นสมบัติของมัน

คนใคร่ดีจะมีช่องทางไป แล้วทางไปนะ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา สิ้นกิเลสไป นี่มันเป็นหนทางข้างหน้าที่เราจะต้องเดินก้าวข้ามไป หนทางเรายังอีกยาวไกล เรายังมีงานทำอีกเยอะแยะ เรายังมีทางต้องไปอีกมาก งานของเราข้างหน้านี่มันรอให้เราทำอยู่อีกมหาศาลเลย ฉะนั้น เราตั้งใจทำของเรา เห็นไหม ถ้าเราเกิดมาแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้เป็นความจริงของเราขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับความเป็นมนุษย์ เห็นไหม มนุสสเปโต มนุษย์เปรต มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว เห็นไหม มนุษย์ที่สิ้นกิเลส เราทำของเรา ประโยชน์กับเรา

คนใคร่ดี มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์กับการเป็นพระของเรา เอวัง